บูชาพระรัตนตรัยก่อนทำวัตรเช้า-เย็น
ภิกษุสามเณรทุกรูปกราบพระประธาน 3 ครั้ง
โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ | พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พระองค์ใด, เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว; |
สวากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม | พระธรรมคือศาสนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นพระองค์ใด, ตรัสไว้ดีแล้ว |
สุปะฏิปันโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ | พระสงฆ์คือผู้ทรงธรรมวินัย, ซึ่งเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นหมู่ใด, เป็นผู้ ปฏิบัติดีแล้ว |
ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง, อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปิ เตหิอะภิปูชะยามะ, | ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า, พร้อมทั้งพระสัทธรรม, และพระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย, ข้าพเจ้าได้ยกขึ้นประดิษฐานไว้ดีแล้ว ในที่อันสมควรอย่างยิ่งเช่นนี้, |
สาธุโน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตปิ | พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแม้ปรินิพพานนานแล้วก็ตาม, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ, ซึ่งยังประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่สาธุชนทั้งหลาย, |
ปัจฉิมา ชะนะตา นุกัมปะ- มานะสา, อิเม สักกาเร ทุคคะตะ ปัณณาการะภูเต-ปะฏิคคัณหาตุ, | ขอจงรับเครื่องสักการะบรรณาการ, ของคนยากทั้งหลายเหล่านี้ด้วย, เพื่ออนุเคราะห์แก่ประชุมชนผู้เกิดแล้วในภายหลังด้วย, |
อัมหากัง ฑีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ. | เพื่อเป็นประโยชน์เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย, สิ้นกาลนาน เทอญ. |
(กราบ)
คำไหว้พระ
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, | พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง, |
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ | ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน, |
(กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ, | พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว, ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม, |
(กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวาโต สาวะกะสังโฆ, | พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว, |
สังฆัง นะมามิ, | ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์ |
(กราบ)
มาตาปิตุคุณัง อะหัง วันทามิ, | ข้าพเจ้ากราบวันทาบิดามารดา ผู้มีพระคุณโดยความเคารพ |
(กราบ)
คะรุอุปัชฌายาจาริยะคุณัง อะหัง วันทามิ, | ข้าพเจ้ากราบวันทา ครูอุปัชฌา อาจารย์, ผู้มีพระคุณโดยความเคารพ |
(กราบ)
ทำวัตรเช้า
(ผู้เป็นหัวหน้านำดังนี้)
หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต
ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส
(แล้วสวดพร้อมกันว่า)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, | ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น, |
อะระหะโต, | ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส, |
สัมมาสัมพุทธัสสะ, | ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง |
๑. พุทธาภิถุติ
(ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวนำว่า)
หันทะ มะยัง พุทธาภิถุติง กะโรมะ เส
(แล้วสวดพร้อมกันว่า)
โยโส ตะถาคะโต, | พระตถาคตเจ้านั้นพระองค์ใด, |
อะระหัง, | เป็นผู้ไกลจากกิเลส, |
สัมมาสัมพุทโธ, | เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง, |
วิชชาจะระณะ สัมปันโน, | เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ, |
สุคะโต, | เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี, | |
โลกะวิทู, | เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง, | |
อนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, | เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษ ที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า, | |
สัตถา เทวะมะนุสสานัง, | เป็นครูผู้สอนของเทวดาและ มนุษย์ทั้งหลาย, | |
พุทโธ, | เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม, | |
ภะคะวา, | เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์, | |
โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพรัหมะกัง, สัสสะมะณะพรัหมะณิงปะชัง สะเทวะมะนุสสังสะยัง, อะภิญญา สัจฉิกัตวา ปะเวเทสิ, | พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด, ได้ทรงทำความดับทุกข์ให้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ทรงสอนโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณ-พราหมณ์, พร้อมทั้งเทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม, | |
โย ธัมมัง เทเสสิ, | พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด, ทรงแสดงธรรมแล้ว, | |
อาทิกัลยาณัง, | ไพเราะในเบื้องต้น |
มัชเฌกัลยาณัง, | ไพเราะในท่านกลาง, | |
ปะริโยสานะกัลยาณัง | ไพเราะในที่สุด | |
สาตถัง สะพยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พรัหมะจะริยัง ปะกาเสสิ, | ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือ แบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง, พร้อมทั้งอรรถะพร้อมทั้งพยัญชนะ, | |
ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ, | ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง, เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น, | |
ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ. | ข้าพเจ้านอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า, |
(กราบระลึกพระพุทธคุณ)
๒. ธัมมาภิถุติ
(ผู้เป็นหัวหน้านำต่อไปว่า)
หันทะ มะยัง ธัมมาภิถุติง กะโรมะ เส
(แล้วสวดพร้อมกันว่า)
โย โส สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, | พระธรรมนั้นใด, เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว |
สันทิฏฐิโก, | เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง |
อะกาลิโก, | เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล, | |
เอหิ ปัสสิโก, | เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า, ท่านจงมาดูเถิด, | |
โอปะนะยิโก, | เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว, | |
ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิ, | เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน, | |
ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ, | ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง, เฉพาะพระธรรมนั้น, | |
ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ, | ข้าพเจ้านอบน้อมพระธรรมนั้นด้วยเศียรเกล้า, |
(กราบระลึกพระธรรมคุณ)
๓. สังฆาภิถุติ
(ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวนำว่า)
หันทะ มะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส
(แล้วสวดพร้อมกันว่า)
โยโส สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, | สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นหมู่ใดปฏิบัติดีแล้ว, |
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, | สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใดปฏิบัติตรงแล้ว, |
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, | สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใดปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว, |
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, | สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใดปฏิบัติสมควรแล้ว, |
ยะทิทัง, จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, | ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ, คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่, นับเรียงตัว บุรุษได้ ๘ บุรุษ, นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, |
อาหุเนยโย, | เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา, |
ปาหุเนยโย, | เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ |
ทักขิเณยโย, | เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน, |
อัญชะลีกะระณีโย, | เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี, |
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ, | เป็นเนื้อนาบุญของโลก, ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า, | |
ตะมะหัง สังฆัง อภิปูชะยามิ, | ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง, เฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น, | |
ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ, | ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้นด้วยเศียรเกล้า, |
(กราบระลึกพระสงฆ์คุณ)
๔. รตนัตตะยัปปะณามะคาถา
(ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวนำว่า)
หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย
เจวะสังเวคะ ปะริกิตตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส
(แล้วสวดพร้อมกันว่า)
พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว, | พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์, มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ, |
โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะ- โลจะโน, | พระองค์ใดมีตาคือญาณอันประเสริฐ, หมดจดถึงที่สุด, |
โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก, | เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาปและอุปกิเลสของโลก, |
วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, | ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น, โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ, |
ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน, | พระธรรมของพระศาสดา, สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป, |
โย มัคคะปากามะตะเภทะ- ภินนะโก, | จำแนกประเภทคือมรรคผลนิพพานส่วนใด, |
โลกุตตะโร โย จะตะทัตถะที- ปะโน, | ซึ่งเป็นตัวโลกุตตระ, และส่วนใดที่ชี้แนวแห่งโลกุตตระนั้น, |
วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, | ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น, โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ |
สังโฆ สุเขตตาภยะติเขตตะ- สัญญิโต, | พระสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่งใหญ่, กว่านาบุญอันดีทั้งหลาย, |
โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก, | เป็นผู้เห็นพระนิพพาน, ตรัสรู้ตามพระสุคตหมู่ใด, |
โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส, | เป็นผู้ละกิเลสเครื่องโลเล, เป็นพระอริยะเจ้ามีปัญญาดี, |
วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, | ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น, โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ, |
อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะกัง, วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสังขะ-ตัง ปุญญัง มะยา ยัง มะมะ | บุญใดที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ ซึ่งวัตถุสาม, คือพระรัตนตรัย, อันควรบูชายิ่งโดยส่วนเดียว, ได้กระทำ |
สัพพุปัททะวา, มาโหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา, | แล้วเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้นี้, ขออุปัทวะทั้งหลายจงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย, ด้วยอำนาจความสำเร็จ อันเกิดจากบุญนั้น, |
อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน, | พระตถาคตเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลกนี้, |
อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ, | เป็นผู้ไกลจากกิเลส, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง, |
ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก, | และพระธรรมที่ทรงแสดง, เป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์, |
อุปะสะมิโก ปรินิพพานิโก, | เป็นเครื่องสงบกิเลส, เป็นไปเพื่อปรินิพพาน, |
สัมโพธะคามี สุคะตัปปะ เวทิโต, | เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม, เป็นธรรม ที่พระสุคตประกาศ, |
มะยันตัง ธัมมัง สุตวา เอวัง ชานามะ, | พวกเรา เมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว, จึงได้รู้อย่างนี้ว่า, |
ชาติปิ ทุกขา, | แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ | |
ชะราปิ ทุกขา, | แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ | |
มะระณัมปิ ทุกขัง, | แม้ความตายก็เป็นทุกข์ | |
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะ- นัสสุปายาสาปิ ทุกขา, | แม้ความโศก ความร่ำไร รำพัน, ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ, ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ | |
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข, | ความประสบกับสิ่ง ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์, | |
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข, | ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์, | |
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิทุกขัง, | มีความปรารถนาสิ่งใด, ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ | |
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทา นักขันธา ทุกขา, | ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ | |
เสยยะถีทัง, | ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ | |
รูปูปาทานักขันโธ, | ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือรูป, |
เวทะนูปาทานักขันโธ, | ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือเวทนา, | |
สัญญูปาทานักขันโธ, | ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสัญญา, | |
สังขารูปาทานักขันโธ, | ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสังขาร, | |
วิญญาณูปาทานักขันโธ, | ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือวิญญาณ, | |
เยสัง ปะริญญายะ, | เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้ อุปาทานขันธ์เหล่านี้เอง, | |
ธะระมาโน โส ภะคะวา, | จึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่, | |
เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ, | ย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลาย, เช่นนี้เป็นส่วนมาก, | |
เอวัง ภาคา จะปะนัสสะ ภะคะวะโต, สาวะเกสุ อะนุสา สะนี, พะหุลา ปะวัตตะติ, | อนึ่ง คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลายส่วนมาก, มีส่วน คือการจำแนกอย่างนี้ว่า, | |
รูปัง อะนิจจัง, | รูปไม่เที่ยง, |
เวทะนา อะนิจจา, | เวทนาไม่เที่ยง, | |
สัญญา อะนิจจา, | สัญญาไม่เที่ยง, | |
สังขารา อะนิจจา, | สังขารไม่เที่ยง, | |
วิญญานัง อะนิจจัง, | วิญญาณไม่เที่ยง | |
รูปัง อะนัตตา, | รูปไม่ใช่ตัวตน, | |
เวทะนา อะนัตตา, | เวทนาไม่ใช่ตัวตน | |
สัญญา อะนัตตา, | สัญญาไม่ใช่ตัวตน, | |
สังขารา อะนัตตา, | สังขารไม่ใช่ตัวตน, | |
วิญญาณัง อะนัตตา, | วิญญาณไม่ใช่ตัวตน, | |
สัพเพ สังขารา อะนิจจา, | สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง, | |
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ, | ธรรมทั้งหลายทั้วปวง ไม่ใช่ตัวตนดังนี้, | |
เต (ตา)๑ มะยัง | พวกเราทั้งหลาย เป็นผู้ถูก | |
โอติณณามหะ, | ครอบงำแล้ว | |
ชาติยา, | โดยความเกิด, | |
ชะรามะระเณนะ, | โดยความแก่และความตาย, |
๑ คำที่อยู่ในวงเล็บต่อท้ายเช่นนี้สำหรับผู้หญิงว่า
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ, | โดยความโศก ความร่ำไรรำพัน, ความไม่สบายกาย, ความไม่สบายใจ, ความคับแค้นใจทั้งหลาย, | |
ทุกโข ติณณา, | เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว, | |
ทุกขะปะเรตา, | เป็นผู้มีความทุกข์ เป็นเบื้องหน้าแล้ว, | |
อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปัญญาเยถาติ, | ทำไฉน การกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้, จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้, |
สำหรับอุบาสกอุบาสิกาพึงสวด
จิระปะรินิพพุตัมปิตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะโต(ตา), | เราทั้งหลายผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า, แม้ปรินิพพานนานแล้ว, พระองค์นั้นเป็นสรณะ, |
ธัมมัญจะ สังฆัญจะ, | ถึงพระธรรมด้วย ถึงพระสงฆ์ด้วย, |
ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง, ยะถาสะติ ยะถาพะลัง มะนะสิ-กะโรมะ อะนุปะฏิปัชชามะ, | จักทำในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่, ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, ตามสติกำลัง, |
สา สาโน ปะฏิปัตติ, อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุขขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ, | ขอให้ความปฏิบัตินั้น ๆ ของเราทั้งหลาย, จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุด, แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เทอญ. |
สำหรับภิกษุสามเณรพึงสวด
จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง, อุททิสสะ อะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง, | เราทั้งหลาย อุทิศเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง, แม้ปรินิพพานนานแล้วพระองค์นั้น, | |
สัทธา อะคารัสมา อะนะคาริยัง ปัพพะ ชิตา, | เป็นผู้มีศรัทธา ออกบวชจากเรือน, ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว, | |
ตัสมิง ภะคะวะติ พรัหมะจะริยัง จะรามะ, | ประพฤติอยู่ซึ่งพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น, | |
ภิกขูนัง สิกขา สาชีวะสะมาปัน-นา, | ถึงพร้อมด้วยสิกขา และธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของภิกษุทั้งหลาย | |
ตัง โน พรัหมะจะริยัง อิมัสสะ เกวะลัสสะ, ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ. | ขอให้พรหมจรรย์ ของเราทั้งหลายนั้น, จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้เทอญ. |
กรวดน้ำตอนเช้า
(หัวหน้าขึ้นต่อไปว่า)
หันทะ มะยัง ปะฏิทานะคาถาโย ภะณามะ เส
(แล้วสวดพร้อมกันว่า)
ยา เทวะตา สันติวิหาระวาสินี, ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหิง ตะหิง, | เทพยดาทั้งหลายเหล่าใด, มีปกติอยู่ในวิหาร, สิงสถิตที่เรือนพระสถูป, ที่เรือนโพธิ์ในที่นั้นๆ | |
ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ ปูชิตา, โสตถิง กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล, | เทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น, เป็นผู้อันเราทั้งหลาย, บูชาแล้วด้วยธรรมทาน, ขอจงทำซึ่งความสวัสดี, ความเจริญในมณฑลวิหารนี้, | |
เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว, สารามิกา ทานะปตี อุปาสะกา, | พระภิกษุทั้งหลาย, ที่เป็นเถระก็ดี ที่เป็นปานกลางก็ดี ที่เป็นผู้บวชใหม่ก็ดี, อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย, | |
คามา จะ เทสานิคะมา จะ อิสสะรา, สัปปาณะภูตา สุขิตา ภะวันตุ เต, | ที่เป็นทานบดี, พร้อมด้วยอารามิกชนก็ดี, ชนทั้งหลายเหล่าใด, ที่เป็นชาวบ้านก็ดี, ที่เป็นชาวประเทศก็ดี, ที่เป็นชาวนิคมก็ดี, ที่เป็นอิสระเป็นใหญ่ก็ ดี, ขอชนทั้งหลายเหล่านั้น, จงเป็นผู้มีความสุขเถิด, | |
ชะลาพุชา เยปิ จะ อัณฑะสัมภะวา, สังเสทะชาตา อะถะโวปะปาติกา, | สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นชลาพุชะ กำเนิดก็ดี, ที่เป็นอัณฑชะกำเนิดก็ดี, ที่เป็นสังเสทะชะกำเนิดก็ดี, ที่เป็นโอปาติกะกำเนิดก็ดี, | |
นิยยานิกัง ธัมมะวะรัง ปะฏิจจะเต, สัพเพปิ ทุกขัสสะ กะโรนตุ สังขะยัง, | สัตว์ทั้งหลาย แม้ทั้งปวงเหล่านั้น ได้อาศัยซึ่งธรรมอันประเสริฐ, เป็นนิยานิกะธรรม, ประกอบในอันผู้นำปฏิบัติ, ให้ออกไปจากสังสารทุกข์, จงกระทำซึ่งความสิ้นไป, พร้อมแห่งทุกข์เถิด, | |
ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา, | ขอธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย, จงตั้งอยู่นาน, อนึ่ง ขอบุคคลทั้งหลาย, ผู้ทรงไว้ซึ่งธรรม, จงดำรงอยู่นาน, | |
สังโฆ โหตุ สะมัคโควะ | ขอพระสงฆ์จงมีความสามัคคี, |
อัตถายะ จะ หิตายะ จะ, | พร้อมเพรียงกัน, ในอันทำซึ่งประโยชน์, และสิ่งอันเกื้อกูลเถิด. |
อัมเห รักขะตุ สัทธัมโม สัพเพปิ ธัมมะจาริโน, | ขอพระสัทธรรม, จงรักษาไว้ซึ่งเราทั้งหลาย, แล้วจงรักษาไว้ ซึ่งบุคคลทั้งหลาย, ผู้ประพฤติซึ่งธรรมแม้ทั้งปวง, |
วุฑฒิง สัมปาปุเณยยามะ ธัมเม อะริยัปปะเวทิเต. | ขอเราทั้งหลาย, พึงถึงพร้อมซึ่งความเจริญ, ในธรรมที่พระอริยะ- |
เจ้า, ประกาศไว้แล้วเถิด, |
พึงเจริญพระกรรมฐานจนสว่างแล้ว กราบพระขอขมาแล้วพึงกราบพระ ๕ ครั้ง แล้วพึงทำความเคารพท่านประธานสงฆ์
คำทำวัตรเย็น
(คำบูชาพระ และปุพพภาคนมการใช้อย่างเดียวกับคำทำวัตรเช้า)
๑. พุทธานุสสติ
(หัวหน้ากล่าวนำว่า)
(หันทะ มะยัง พุทธานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส)
(แล้วรับพร้อมกันว่า)
ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัลยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต, | ก็กิตติศัพท์อันงามของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, ได้ฟุ้งไปแล้วอย่างนี้ว่า: | |
อิติปิโส ภะคะวา, | เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น; | |
อะระหัง | เป็นผู้ไกลจากกิเลส; | |
สัมมาสัมพุทโธ, | เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ โดยพระองค์เอง; | |
วิชชาจะระณะสัมปันโน, | เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ; | |
สุคะโต, | เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี; | |
โลกะวิทู, | เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง; | |
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, | เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า; | |
สัตถา เทวะมะนุสสานัง, | เป็นครูผู้สอน ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย; | |
พุทโธ, | เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม; | |
ภะคะวา ติ. | เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้. |
๒. พุทธาภิคีติ
(หัวหน้าขึ้นนำว่า)
(หันทะ มะยัง พุทธาภิคีติง กะโรมะ เส)
(แล้วรับพร้อมกันว่า)
พุทธวาระหันตะวะระตาทิ- คุณาภิยุตโต, | พระพุทธเจ้า ประกอบด้วยคุณ, มีความประเสริฐแห่งอรหันตคุณ เป็นต้น; |
สุทธาภิญาณะกะรุณาหิ สะมาคะตัตโต, | มีพระองค์ อันประกอบด้วยพระญาณ และพระกรุณาอันบริสุทธิ์ |
โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลังวะ สูโร, | พระองค์ใด ทรงกระทำชนที่ดีให้เบิกบาน, ดุจอาทิตย์ทำบัวให้บาน; |
วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง, | ข้าพเจ้าไหว้พระชินสีห์, ผู้ไม่มีกิเลสพระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า; |
พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, | พระพุทธเจ้าพระองค์ใด, เป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย; |
ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิตัง สิเรนะหัง, | ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้า พระองค์นั้น, อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึก องค์ที่หนึ่งด้วยเศียรเกล้า, |
พุทธัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ พุทโธ เม สามิกิสสะโร, | ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า, พระพุทธเจ้าเป็นาย มีอิสระเหนือข้าพเจ้า; | |
พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, | พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์, และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า; | |
พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, | ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า; | |
วันทันโตหัง (ตีหัง) จะริสสามิ พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง, | ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม, ซึ่งความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า; | |
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, | สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี, พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า; | |
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, | ด้วยการกล่าวคำสัจนี้, ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา; | |
พุทธัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, | ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ ซึ่งพระพุทธเจ้า, ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้, |
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. | อันตรายทั้งปวง อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า, ด้วยเดชแห่งบุญนั้น. |
(พึงหมอบกราบขอขมาว่า)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, | ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี; |
พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, | กรรมน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระพุทธเจ้า; |
พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, | ขอพระพุทธเจ้า จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น; |
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ. | เพื่อการสำรวมระวัง ในพระพุทธเจ้า ในกาลต่อไป. |
๓. ธัมมานุสสติ
(หัวหน้าขึ้นต่อไปว่า)
(หันทะ มะยัง ธัมมานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส)
(แล้วรับพร้อมกันว่า)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, | พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว; |
สันทิฏฐิโก, | เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษา และปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง; |
อะกาลิโก, | เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่กำจัดกาล; |
เอหิปัสสิโก, | เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า, ท่านจงมาดูเถิด; |
โอปะนะยิโก, | เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว; |
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ. | เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตนดังนี้; |
๔. ธัมมาภิคีติ
(หัวหน้าขึ้นต่อไปว่า)
(หันทะ มะยัง ธัมมาภิคีติง กะโรมะ เส)
(แล้วรับพร้อมกันว่า)
สวากขาตะตาทิคุณะโย คะวะเสนะ เสยโย, | พระธรรม เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะประกอบด้วยคุณ, คือ ความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นต้น; |
โย มัคคะปากะปะริยัตติ- วิโมก ขะเภโท, | เป็นธรรมอันจำแนกเป็นมรรค ผลปริยัติและนิพพาน; |
ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะ ธาริธารี, | เป็นธรรมทรงไว้ ซึ่งผู้ทรงธรรม, จากการตกไปสู่โลกที่ชั่ว; | |
วันทามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง, | ข้าพเจ้าไหว้พระธรรม อันประเสริฐนั้น, อันเป็นเครื่องขจัดเสียซึ่งความมืด; | |
ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, | พระธรรมใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย; | |
ทุติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, | ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น, อันเป็นที่ตั้ง แห่งความระลึกองค์ที่สอง ด้วยเศียรเกล้า; | |
ธัมมัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ ธัมโม เม สามิกิสสะโร, | ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระธรรม, พระธรรมเป็นนาย มีอิสระเหนือข้าพเจ้า; | |
ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, | พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์, และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า; | |
ธัมมัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, | ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระธรรม; |
วันทันโตหัง (ตีหัง) จะริสสามิ ธัมมัสเสวะ สุธัมมะ ตัง, | ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ จักประพฤติตาม, ซึ่งความเป็นธรรมดีของพระธรรม, | |
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง, | สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี, พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า; | |
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, | ด้วยการกล่าวคำสัจนี้, ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา; | |
ธัมมัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, | ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ ซึ่งพระธรรม, ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้ | |
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. | อันตรายทั้งปวง อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า, ด้วยเดชแห่งบุญนั้น, |
(พึงหมอบกราบขอขมาว่า)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, | ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี; |
ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, | กรรมน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว ในพระธรรม; |
ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, | ขอพระธรรม จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น; |
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม, | เพื่อการสำรวมระวัง ในพระธรรม ในกาลต่อไป. |
๕. สังฆานุสสติ
(หัวหน้าขึ้นต่อไปว่า)
(หันทะ มะยัง สัมฆานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส)
(แล้วรับพร้อมกันว่า)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, | สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, หมู่ใดปฏิบัติดีแล้ว; | |
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, | สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, หมู่ใดปฏิบัติตรงแล้ว; | |
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, | สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า. หมู่ใดปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม เป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว; |
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง, | สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, หมู่ใดปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ; |
จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, | คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า; |
อาหุเนยโย, | เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา; |
ปาหุเนยโย, | เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ; |
ทักขิเณยโย, อัญชะลีกะระณีโย, | เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน; เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี; |
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสา ติ. | เป็นเนื้อนาบุญของโลก, ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้. |
๖. สังฆาภิคีติ
(หัวหน้าขึ้นต่อไปว่า)
(หันทะ มะยัง สังฆาภิคีติง กะโรมะ เส)
(แล้วรับพร้อมกันว่า)
สัทธัมมะโช สุปะฏิปัตติคุณาทิยุตโต, | พระสงฆ์ที่เกิดโดยพระสัทธรรม, ประกอบด้วยคุณ มีความปฏิบัติดี เป็นต้น; |
โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละ สังฆะเสฏโฐ, | เป็นหมู่แห่งพระอริยะบุคคลอันประเสริฐ แปดจำพวก; |
สีลาทิธัมมะปะวะราสะยะ- กายะจิตโต, | มีกายและจิตอันอาศัยธรรม, มีศีล เป็นต้น อันบวร, |
วันทามะหัง ตะมะริยานะคะณัง สุสุทธัง, | ข้าพเจ้าไหว้หมู่แห่งพระอริยเจ้าเหล่านั้น, อันบริสุทธิ์ด้วยดี; |
สังโฆ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, | พระสงฆ์หมู่ใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุด ของสัตว์ทั้งหลาย; |
ตะติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, | ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น, อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกองค์ที่สาม ด้วยเศียรเกล้า; |
สังฆัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ สังโฆ เม สามิกิสสะโร, | ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระสงฆ์พระสงฆ์เป็นนาย อิสระเหนือข้าพเจ้า; |
สังโฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, | พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์, และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า; |
สังฆัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, | ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระสงฆ์; |
วันทันโตหัง (ตีหัง) จะริสสามิ สังฆัสโส (เส) ปะฏิปันนะตัง, | ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ จักประพฤติตาม ซึ่งความปฏิบัติดีของพระสงฆ์; |
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, | สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี, พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า; |
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, | ด้วยการกล่าวคำสัจนี้, ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา; |
สังฆัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตังอิธะ; | ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระสงฆ์, ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้; |
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. | อันตรายทั้งปวง อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งบุญนั้น. |
(พึงหมอบกราบขอขมาว่า)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, | ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี; |
สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, | กรรมน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระสงฆ์; |
สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, | ขอพระสงฆ์จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น; |
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ. | เพื่อการสำรวมระวังในพระสงฆ์ในกาลต่อไป. |
ทสธรรมสูตร
ทะสะ อิเม ภิกขะเว ธัมมา ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง, | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรม ๑๐ ประการนี้ บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ, |
กะตะเม ทะสะ, | ธรรม ๑๐ ประการนั้น เป็นอย่างไร? |
(๑) เววัณนิยัมหิ อัชชูปะคะโตติ, ปัพพะชิเตนะ, อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง, | บรรพชิตควรจะพิจารณาเนือง ๆ ว่า, บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว, อาการกิริยาใดของสมณะ เราจะต้องทำอาการกิริยานั้นๆ | |
(๒) ปะระปะฏิพัทธา เม ชีวิกาติ, ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง, | บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า, การเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น, เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย, | |
(๓) อัญโญ เม อากัปโป กะระณีโยติ, ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง, | บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า, อาการกายวาจาอย่างอื่นที่เราจะต้องทำให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้, ยังมีอยู่อีก มิใช่แต่เพียงเท่านี้, | |
(๕) กัจจิ นุโข เม อัตตะสีละโต นะ อุปะวะทันตีติ, ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง, | บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า, ตัวของเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ | |
(๕) กัจจิ นุโข มัง อนุวิจจะ วิญญู สะพรหมะจารี สีละโต นะ อุปวทันตีติ, ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง, | บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า, เพื่อนสพรหมจารีผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว, ติเตียนตัวเราเองโดยศีล ได้หรือไม่, | |
(๖) สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนา- เปหิ นานาภาโว วินาภาโวติ, ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง | บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า, เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น, | |
ปัจจะเวกขิตัพพัง, | ||
(๗) กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท, กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ, ยัง กัมมัง กะริสสามิ กัลยาณัง วา, ปาปะกังวา ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามีติ ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง, | บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆว่า, เรามีกรรมเป็นของตัวเป็นผู้รับผลของกรรมมีกรรมเป็นกำเนิด, มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย, เราทำดีจักได้ดี เราทำชั่วจักได้ชั่ว, เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น. | |
(๘) กะถัมมะภูตัสสะ เม รัตตินทิวา วิติปะตันตีติ, ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง, | บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆว่า, วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่, |
(๙) กัจจิ นุโขหัง สุญญา คาเร อะภิระมามีติ, ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง, | บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆว่า, เรายินดีในที่สงัดหรือไม่, | |
(๑๐) อัตถิ นุโข เม อุตตะริมะนุสสะธัมมา, อะละมะริ ยา ญาณะทัสสะนะวิเสโส อะธิคะโต, โสหัง ปัจฉิเม กาเล สะพรหมะจารีหิ ปุฏโฐ นะ มังกุ ภะวิสสามีติ, ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง | บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆว่า, คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่, ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขินในเวลาเพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง | |
อิเมโข ภิกขะเว ทะสะ ธัมมา, ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพังติ, | ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรม ๑๐ ประการนี้แล บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ดังนี้แล, |
กรวดน้ำตอนเย็น
อุททิสสนาธิฏฐานคาถา
(หัวหน้าขึ้นต่อไปว่า)
หันทะ มะยัง อุททิสสนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส
(แล้วรับพร้อมกันว่า)
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ | ด้วยบุญนี้ อุทิศให้ | |
อุปัชฌายา คุณุตตะรา | อุปัชฌาย์ผู้เลิศคุณ | |
อาจะริยูปะการา จะ | แลอาจารย์ ผู้เกื้อหนุน | |
มาตา ปิตา จะ ญาตะกา | ทั้งพ่อแม่ แลปวงญาติ | |
สุริโย จันทิมา ราชา | สูรญ์จันทร์ แลราชา | |
คุณะวันตา นะราปิ จะ | ผู้ทรงคุณ หรือสูงชาติ | |
พรหมะมารา จะ อินทา จะ | พรหมมารและอินทราช | |
โลกะปาลา จะ เทวะตา | ทั้งทวยเทพ และโลกบาล | |
ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ | ยมราช มนุษย์มิตร | |
มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ | ผู้เป็นกลาง ผู้จ้องผลาญ | |
สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ | ขอให้เป็นสุขศานติ์ ทุกทั่วหน้า อย่าทุกข์ทน | |
ปุญญานิ ปะกะตานิ เม | บุญผองที่ข้าพเจ้าทำจงช่วยอำนวยศุภผล | |
สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ | ให้สุขสามอย่างล้น | |
ขิปปัง ปาเปถะ โวมะตัง | ให้บรรลุถึงนิพพานพลัน | |
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ | ด้วยบุญนี้ ที่เราทำ | |
อิมินา อุททิสเสนะ จะ | แลอุทิศให้ปวงสัตว์ |
ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ | เราพลันได้ซึ่งการตัด | |
ตัณหุปาทานะ เฉทะนัง | ตัวตัณหา อุปาทาน | |
เย สันตาเน หินา ธัมมา | สิ่งชั่วในดวงใจ | |
ยาวะ นิพพานะโต มะมัง | กว่าเราจะถึงนิพพาน | |
นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ | มลายสิ้น จากสันดาน | |
ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว | ทุก ๆ ภพที่เราเกิด | |
อุชุจิตตัง สะติปัญญา | มีจิตตรงและสติ ทั้งปัญญา อันประเสริฐ | |
สัลเลโข วิริยัมหินา | พร้อมทั้งความเพียรเลิศ เป็นเครื่องขูดกิเลสหาย | |
มารา ละภันตุ โนกาสัง กาตุญจะ วิริเยสุ เม | โอกาสอย่าพึงมีแก่หมู่มารสิ้น ทั้งหลาย เป็นช่องประทุษร้าย ทำลายล้างความเพียรจม | |
พุทธาธิปะวะโรนาโต | พระพุทธผู้บวรนาถ | |
ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม | พระธรรมเป็นที่พึ่งอันอุดม | |
นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ สังโฆ มาโถตตะโร มะมัง | พระปัจเจกะ พุทธสมทบ พระสงฆ์ที่พึ่งผยอง |
เตโสตตะมานุภาเวนะ | ด้วยอานุภาพนั้น |
มาโรกาสัง ละภันตุมา | ขอหมู่มารอย่าได้ช่อง |
ทะสะปุญญานุภาเวนะ | ด้วยเดชบุญทั้งสิบป้อง |
มาโรกาสัง ละภันตุมา | อย่าเปิดโอกาสแก่มาร (เทอญ) |
คำชักผ้าป่า
อิมัง ปังสุกูละ จีวะรัง อัสสามิกัง มัยหัง ปาปุณาติ.
ผ้าบังสุกูลผืนนี้ เป็นผ้าไม่มีเจ้าของหวงแหน ย่อมถึงแก่ข้าพเจ้า.
วิธีนั่งสมาธิ โดย เขมโกภิกขุ
ผู้ฝึกสมาธินั้น พึงนั่งขัดสมาธิ โดยเอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า อย่าพึงนั่งเอียงซ้ายเอียงขวาก้มหน้าก้มหลัง หรือคอเอียงอย่างนี้ก็มิควร เพราะอาการเช่นนั้นเป็นการผิดหลักการนั่งสมาธิพึงแต่งกายให้สวยงาม ประดุจรูปของพระพุทธรูปที่นั่งอยู่ พยายามนั่งให้เหมือนกับพระพุทธรูปทุกอย่าง มนสิการไว้ในใจว่า เรากำลังสร้างองค์พระให้เกิดขึ้นภายในกายของเรา ทำอะไรก็ให้เหมือนพระ แล้วก็น้อมพระเข้ามาหาตน พระไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่กายใจของเรานี้เอง
การกำหนดกรรมฐาน
ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ ระลึกถึงพระธรรมเจ้าอยู่ที่ใจ ระลึกถึงพระสงฆ์เจ้าอยู่ที่ใจ แล้วพึงพิจารณาดูว่า กายของเราอยู่ในลักษณะเช่นไร พยายามดูตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงปลายเท้า ดูกลับไปกลับมาเป็นอนุโลมปฏิโลมอยู่สักพักหนึ่ง แล้วหลับตาพิจารณาทบทวนอีก จนเกิดความรู้ชัดในสภาพร่างกายตั้งอยู่ในลักษณะเช่นไร พึงสำรวมจิตให้มาคอยกำหนดทำความรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออกอยู่ตรงปลายจมูกหรือตรงท้องน้อยเหนือสะดือ 2 นิ้ว ตามแต่ที่เราถนัด หายใจเข้าพึงภาวนาว่า “พุท” หายใจออกภาวนาว่า “โธ” แรกนั้นการปฏิบัติพึงกำหนดลมหายใจเข้า-ออกยาว ๆ เพราะสติยังอ่อนอยู่ ขณะที่นั่งอยู่นั้นกายสงบก็ทำความรู้ว่า “กายสงบ” ใจสงบก็ทำความรู้ว่า “ใจสงบ” สงบอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ทำความรู้อยู่ตลอดเวลา, สุขเกิดก็รู้ ทุกข์เกิดก็รู้ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดขึ้นก็รู้ ทำความรู้ทั้งกายใจอยู่อย่างนี้ บางครั้งทุกข์กายแต่สุขใจก็มี คิดดีก็รู้ รู้แล้วเฉย คิดชั่วก็รู้ รู้แล้วเฉยอะไรที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ทำความเฉยให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำเฉย ๆ ให้มากเท่าไรยิ่งดี จิตจะได้ตั้งมั่นได้รวดเร็ว ถ้าเกิดอาการหาวนอน พึงทำความร่าเริงบันเทิงในลมหายใจเข้า-ออกอยู่นาน ๆ เข้าจิตก็เกิดสมาธิแนบแน่นจนกายเบาจิตเบา หรือขณะทำจะกำหนดดูใบหน้าของเราก็ได้ ให้เห็นรูปใบหน้าเหมือนกับเราส่องกระจกเงา หรือเอาจิตไปตั้ง
ตรงระหว่างคิ้วก็ได้ ที่เรียกว่าจุดนิโรธสัจจะ หรือเอาจิตพิจารณาไปในกาย ดูตามกะโหลกศีรษะ ตามกระดูกสันหลัง หรือในปัญจกรรมฐานคือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แล้วแต่อัชฌาสัยของผู้ปฏิบัติว่าชอบอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเอาอย่างเดียว, แล้วพึงทำให้บ่อย ๆ เข้า ก็จะเกิดความรู้ความเห็นได้ และก็จะหมดความสงสัยในพระรัตนตรัยโดยสิ้นเชิง.
การออกจากสมาธิ
ถอนจิตออกจากอารมณ์แล้วค่อย ๆ เคลื่อนมือขวาออกมาทับเข่าขวา แล้วมือซ้ายก็เช่นเดียวกัน ค่อย ๆ น้อมมือทั้ง ๒ พนมตรงหน้าอก แล้วยกจดศีรษะ แล้ววางมือตามปกติได้ในขณะนั้นให้หลับตา มองดูมือที่ค่อย ๆ เคลื่อนนั้นให้เห็นด้วยการมีสติสัมปชัญญะเต็มที่
"เป็นผู้เจริญต้องหัดชนะ นอนก็ทำ ยืนก็ทำ เดินก็ทำ เว้นแต่เผลอ พอเผลอแล้วนึกขึ้นได้ก็ทำอีก"
เขมโกวาท.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
OK