20.11.54

พระอุบาลีเถระ

                                                                  พระอุบาลีเถระ
เอตทัคคะในทางผู้ทรงพระวินัย

พระอุบาลี เกิดในตระกูลช่างกัลบก ในกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อเจริญเติบโต ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นช่างกัลบก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ช่างภูษามาลา มีหน้าที่ตัดแต่งพระเกศาประจำราชสกุลศากยะ ซึ่งได้ถวายการรับใช้เจ้าชายภัททิยะ เจ้าชายอนุรุทธะ เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายอานนท์ เป็นต้น ช่างกัลบกท่านนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี เสมอต้นเสมอปลายต่อเจ้าชายทุก ๆ พระองค์ จนเป็นที่ไว้วางพระหฤทัย

ในสมัยที่พระพุทธองค์ เสด็จมาโปรดพระประยูรญาติที่นครกบิลพัสดุ์ แล้วเสด็จไปประทับที่อนุปิยอัมพวัน ซึ่งเป็นแว่นแคว้นของมัลลกษัตริย์ เจ้าชายศากยะทั้ง ๕ พระองค์ ที่กล่าวนามข้างต้น ได้ตัดสินพระทัยออกบวชเป็นพุทธสาวก และอุบาลีช่างกัลบกก็ขอบวชด้วย จึงรวมเป็น ๗ พระองค์ด้วยกัน พระอุบาลี เมื่อบวชแล้ว ได้ศึกษาพระกรรมฐานจากพระผู้มีพระภาคเจ้า หลังจากนั้นท่านมีความประสงค์จะไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่า เพื่อหาความสงบตามลำพัง แต่เมื่อกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ได้มีรับสั่งแก่พระเถระว่า อุบาลี ถ้าเธอไปอยู่ในป่าบำเพ็ญสมณธรรม ก็จะสำเร็จเพียงวิปัสสนาธุระ แต่ถ้าเธออยู่ในสำนักของตถาคต ก็จะสำเร็จธุระทั้งสอง คือ ทั้งวิปัสสนาธุระ และคันถธุระ คือ การเรียนคัมภีร์ต่างๆ ท่านปฏิบัติตามพระพุทธดำรัสที่ตรัสแนะนำ ได้ศึกษาพระพุทธพจน์ไปพร้อมกับเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานก็บรรลุพระอรหัตผลในพรรษานั้น หลังจากนั้นท่านก็เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระอุบาลีมีบทบาทสำคัญมากในการพระพุทธศาสนา ทั้งในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ และหลังจากที่พระองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว คือ

1) เป็นผู้สอนพระวินัยแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยเหตุที่ท่านได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีความชำนาญในพระวินัย ภิกษุทั้งหลายจึงเรียนพระวินัยในสำนักของท่าน นอกจากนั้นภิกษุที่ทรงจำวินัยปิฎกในสมัยต่อๆ มาก็ล้วนแต่เป็นศิษย์ผู้เรียนวินัยตามสายพระอุบาลีทั้งสิ้น

2) ได้รับความไว้วางใจจากพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษถ้ามีอธิกรณ์ หรือคดี เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับวินัยเกิดขึ้น พระพุทธองค์ก็ทรงมอบให้พระอุบาลีรับภาระดำเนินการวินิจฉัยให้เป็นไปโดยถูกต้อง

3) ผลงานที่สำคัญที่สุดซึ่งมีผลมาจนถึงปัจจุบัน คือ การทำสังคายนาครั้งที่ ๑ หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ ๓ เดือน พระมหากัสสปะชักชวนเหล่าพระสงฆ์กระทำการปฐมสังคายนา คือ ราบรวม เรียบเรียงพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนตลอด ๔๕ พรรษา สอบทานและจัดหมวดหมู่วางลงเป็นแบบแผน ซึ่งในการสังคายนาครั้งนั้น ประกอบด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระธรรม

พระอุบาลีเป็นพระเถระสำคัญรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา เป็นมหาสาวก และเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธเจ้า เพราะความที่ท่านอยู่ใกล้ชิดพระบรมศาสดาโดยตรง ท่านจึงมีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ

พระอุบาลีเถระสนใจพระวินัย หรือระเบียบข้อบังคับของพระสงฆ์เป็นพิเศษ ท่านได้ศึกษาจากพระพุทธองค์จนมีความรู้แตกฉาน จนกระทั่งได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุอื่นในทางทรงจำพระวินัย ทุกๆ การวินิจฉัยของท่านเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของพุทธบริษัท ครั้งหนึ่ง พระเถระได้ตัดสินความเรื่องหนึ่ง ขอนำมาเล่า ดังนี้

            ภิกษุณีสาวรูปหนึ่งอยู่ในปกครองของพระเทวทัต ตั้งท้องขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เรื่องรู้ถึงพระเทวทัต พระเทวทัตสั่งให้สึกทันที โดยมิได้ไต่สวนอะไรเลย หาว่านางภิกษุณีต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุณีแล้ว ภิกษุณีกราบเรียนท่านว่า นางมิได้กระทำเรื่องเลวร้ายดังกล่าวหา นางเป็นผู้บริสุทธิ์       พระเทวทัตกล่าวว่า บริสุทธิ์อะไรกัน ก็ประจักษ์พยานเห็นชัดๆ อยู่อย่างนี้ ยังมีหน้ามายืนยันว่าตนบริสุทธิ์อยู่หรือ

            แม้ว่านางจะวิงวอนอย่างไร พระเทวทัตก็ไม่สนใจ สั่งให้สึกอย่างเดียว ภิกษุณีจึงอุทธรณ์ต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบก่อนแล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่เพื่อให้เป็นที่กระจ่างแจ้งและยอมรับโดยทั่วไป จึงทรงแต่งตั้งให้พระอุบาลีเถระเป็นผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ความ

            เนื่องจากเป็นเรื่องของสตรี พระอุบาลีเถระเองก็ไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ท่านจึงขอแรงนางวิสาขาและอนาถบิณฑิกเศรษฐีให้ช่วยเหลือ นางวิสาขาได้ตรวจร่างกายของนางภิกษุณี ซักถามถึงวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย วันที่ประจำเดือนหมดครั้งสุดท้าย ตลอดถึงตรวจตราดูความเปลี่ยนแปลงของร่างกายทุกอย่าง แล้วลงความเห็นว่า นางภิกษุณีได้ตั้งครรภ์ก่อนบวช โดยที่ตนเองไม่ทราบ จึงรายงานให้พระอุบาลีเถระทราบ

            พระเถระได้ใช้ความเห็นเหล่ากรรมการคฤหัสถ์นั้นเป็นหลักฐานของการพิจารณาตัดสินอธิกรณ์ ได้วินิจฉัยว่าภิกษุณีบริสุทธิ์ มิได้ต้องปาราชิกดังถูกกล่าวหา พระพุทธองค์ทรงทราบการวินิจฉัยของพระอุบาลีเถระแล้ว ทรงประทานสาธุการว่าวินิจฉัยได้ถูกต้องแล้ว ภิกษุณีจึงไม่ต้องลาสิกขาตามคำสั่งของพระเทวทัต พระอรรถกถาเขียนไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงสดับเรื่องที่ท่านพระอุบาลีเถระวินิจฉัยนั้นแล้ว พระตถาคตเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อุบาลีกล่าวไว้ชอบแล้ว, อุบาลีกล่าวแก้ปัญหานี้ ดุจทำรอยเท้าไว้ในที่ไม่มีรอยเท้า ดุจแสดงรอยเท้าไว้ในอากาศ ฉะนั้นจึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ทรงวินัย









ปฐมสังคายนาวิสัชนาพระวินัย
ผลงานที่ท่านได้เป็นกำลังสำคัญในการทำให้พระพุทธศาสนายืนยาวสืบทอดมาถึงปัจจุบันนี้ ก็คือ หลังจากที่พระบรมศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระ ได้คัดเลือกพระอรหันตสาวก จำนวน ๕๐๐ รูป ร่วมกันทำปฐมสังคายนา โดยมติของที่ประชุมสงฆ์ได้มอบให้พระอุบาลีเถระรับหน้าที่วิสัชนาพระวินัย โดยรวบรวมพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ในที่ต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ นำมาจัดรวบรวมเป็นหมวดหมู่จนเป็น พระวินัยปิฎก ที่เป็นหลักฐานให้ศึกษากันในปัจจุบันนี้ มีส่วนสำคัญในการทำปฐมสังคายนา

ในการสังคายนาครั้งนั้น มีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย โดย พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับข้อบัญญัติพระวินัย และ พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร และพระอภิธรรม

เหล่าพระเถระจึงเริ่มปรึกษาและสมมติตนเป็นผู้ปุจฉาวิสัชนา โดยพระมหากัสสปเถระได้ปรึกษาภิกษุทั้งหลายว่าควรจะสังคายนา พระธรรมหรือพระวินัยก่อน ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า สมควรสังคายนาพระวินัยก่อนด้วยเหตุว่า พระวินัยได้ชื่อว่าเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยยังตั้งอยู่ พระพุทธศาสนาจัดว่ายังดำรงอยู่

พระมหากัสสปะจึงถามถึงผู้ที่สมควรจะเป็นธุระชี้แจงในเรื่องพระวินัย ภิกษุทั้งหลายเห็นสมควรให้ท่านพระอุบาลีเป็นผู้ชี้แจง ด้วยเหตุผลว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั่น ทรงอาศัยวินัยปริยัติ จึงตั้งท่านพระอุบาลีไว้ในเอตทัคคะผู้เลิศกว่าสาวกผู้ทรงวินัย

ครั้งเมื่อการปฐมสังคยนาครั้งแรกนั้น ท่านพระมหากัสสปะเถระ  ได้กล่าวว่า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้ ข้าพเจ้าพึงถามพระวินัยกะพระอุบาลี

ฝ่ายพระอุบาลีก็กล่าวให้สงฆ์ทราบว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้ ข้าพเจ้าผู้ท่านพระมหากัสสปะถามแล้ว จะพึงวิสัชนาพระวินัย.

ท่านพระอุบาลี ลุกขึ้นจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่า ไหว้ภิกษุเถระทั้งหลาย แล้วนั่งบนธรรมาสน์ พระมหากัสสปนั่งบนเถระอาสนะ แล้วถามพระวินัยกับท่านพระอุบาลีว่า

พระมหากัสสปะ     :   ท่านอุบาลี ! ปฐมปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
    บัญญัติ ณ ที่ไหน ?
พระอุบาลี            :   ที่เมืองเวสาลี ขอรับ.
พระมหากัสสปะ     :   ทรงปรารภใคร?
พระอุบาลี            :   ทรงปรารภพระสุทินกลันทบุตร.
พระมหากัสสปะ    :   ทรงปรารภในเพราะเรื่องอะไร?
พระอุบาลี          :   ในเพราะเรื่องเมถุนธรรม.

ต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสปะ ถามท่านพระอุบาลีถึง วัตถุ, นิทาน, บุคคล, บัญญัติ, อนุบัญญัติ, อาบัติ และอนาบัติ แห่งปฐมปาราชิก,. แห่งทุติยปาราชิก,.แห่งตติยปาราชิก, และแห่งจตุตถปาราชิก จนครบถ้วน.
พระอุบาลีเถระนั้น เมื่อพระมหากัสสปะถามแล้ว ท่านก็ได้วิสัชนาตอบโดยละเอียดทุกข้อ ทุกประการ นับเป็นที่อัศจรรย์ของชุมนุมสงฆ์ยิ่งเกินประมาณ

        ส่วนของพระวินัยปิฎกนี้ ในเบื้องต้นเมื่อครั้งพระตถาคตเจ้ายังไม่ปรินิพพาน ท่านพระอุบาลีเถระ จดจำไว้ต่อหน้าพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเมื่อพระตถาคตเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็ยังมีพระภิกษุหลายพันรูป ทรงจำไว้ต่อจากท่านพระอุบาลีเถระนั้น

พระวินัยจำสืบต่อมาตามลำดับในสำนักพระอุบาลีเถระ ตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนา...มาจนถึง...จนถึงตติยสังคายนาครั้งที่ ๓ ซึ่งสำนักพระอุบาลีเถระนั้นมีลำดับพระเถราจารย์ดังต่อไปนี้ :-

พระอุบาลีเถระเล่าเรียนมาจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระทาสกเถระ
เล่าเรียนมาในสำนักของพระอุบาลีเถระผู้เป็นอุปัชฌายะของตน

พระโสณกเถระ
เล่าเรียนมาในสำนักของพระทาสกเถระ ผู้เป็นอุปัชฌายะของตน

พระสิคควเถระ
เล่าเรียนมาในสำนักของพระโสณกเถระ ผู้เป็นอุปัชฌายะของตน

พระโมคคลีบุตรติสสเถระ
เล่าเรียนมาในสำนักของพระสิคควเถระผู้เป็นอุปัชฌายะของตน.

และพระพระโมคคลีบุตรติสสเถระ พระเถระรูปนี้นี่เอง ที่เป็นผู้กระทำตติยสังคายนา หรือการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ณ อโศการาม กรุงปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย ใน พ.ศ. 235

ด้วยความที่ท่านพระอุบาลีเถระ เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านพระวินัยนี้ จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้ทรงพระวินัย ท่านพระอุบาลีเถระดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลา แล้วก็เข้าสู่ฝั่งพระนิพพาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

OK