20.11.54

พระวินัยสำหรับพระภิกษุสงฆ์ ( แปล )

สรุปย่อข้อควรจำพระวินัยสำหรับพระภิกษุสงฆ์
พระวินัย
           พระวินัย  คือข้อบังคับและขนบธรรมเนียม  สำหรับป้องกันความเสียหายและชักจูงให้ประพฤติดีงาม  พระวินัยนั้นแบ่งเป็น ๒ คือ
๑.    พุทธบัญญัติ  คือข้อบังคับเพื่อป้องกันความเสียหาย  และวางโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดด้วยปรับอาบัติหนักบ้างเบาบ้าง
๒.  อภิสมาจาร  คือระเบียบขนบธรรมเนียมชักนำให้ภิกษุประพฤติดีงาม
การบัญญัติพระวินัย
            พระวินัยไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ล่วงหน้าค่อยมีมาตามลำดับเหตุบังเกิด  เมื่อภิกษุทำความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น  พระองค์ก็ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามความประพฤติเช่นนั้นเป็นอย่าง ๆ ไป  รวมความเป็นไปแล้วพระบัญญัติมี ๒ อย่าง คือ
๑.    มูลบัญญัติ  คือข้อที่ทรงบัญญัติไว้เดิม
๒.  อนุบัญญัติ  คือข้อที่ทรงบัญญัติเพิ่มเติมทีหลัง
รวมมูลบัญญัติและอนุบัญญัติเข้าด้วยกัน  เรียกว่า  สิกขาบท
อาบัติ
            อาบัติ  แปลว่า  ความต้อง  ได้แก่โทษที่เกิดเพราะละเมิดพระบัญญัตินั้น  มีโทษหนักบ้างเบาบ้างตามวัตถุ  อาบัตินั้นมีโทษ ๓ สถาน  คือ
๑.    อย่างหนัก  ขาดจากความเป็นภิกษุ
๒.  อย่างกลาง  ต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นได้
๓.   อย่างเบา  ต้องประจานตนต่อหน้าภิกษุด้วยกันจึงจะพ้น
อาบัติยังมีชื่ออีก ๒ อย่าง  คือ 
·       อเตกิจฉา  อาบัติหนักแก้ไขไม่ได้
·       สเตกิจฉา  อาบัติอย่างกลางและอย่างเบาแก้ไขได้
ชื่ออาบัติ
อาบัตินั้นมีชื่อ ๗ อย่าง  คือ
๑. ปาราชิก  มีโทษอย่างหนัก   ๒. สังฆาทิเสส  มีโทษอย่างกลาง
๓. ถุลลัจจัย  ๔. ปาจิตตีย์  ๕ .ปาฏิเทสนียะ  ๖. ทุกกฎ  ๗.  ทุพภาสิต
ข้อ ๓ ข้อ ๗ มีโทษอย่างเบา



ครุกาบัติ  และ  ลหุกาบัติ
ครุกาบัติ  คือ  อาบัติหนักแบ่งเป็น ๒ พวก  คือ
๑.    อาบัติหนักแก้ไขไม่ได้  คือ  ปาราชิก  เรียกว่า  อเตกิจฉา
๒.  อาบัติหนักแก้ไขได้  คือ  สังฆาทิเสส  เรียกว่า  สเตกิจฉา
ลหุกาบัติ  คือ  อาบัติเบา  ได้แก่  ถุลลัจจัย  ถึง  ทุพภาสิต
สมุฏฐาน
            สมุฏฐาน  คือ  ทางเกิดของอาบัติ  โดยตรงมี ๔ ทาง  คือ
๑.    ลำพังกาย  ๒. ลำพังวาจา  ๓. กายกับจิต  ๔. วาจากับจิต
โดยอ้อมอีก ๒ ทาง  คือ  ๑. กายกับวาจา  ๒. กายกับวาจาเติมจิตเข้าด้วยจึงรวมเป็น  ๖  ทาง
สจิตตกะ  และ  อจิตตกะ
            อาบัตินั้นจัดเป็น ๒ พวก  คือ
๑.    สจิตตกะ  เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานมีเจตนา
๒.  อจิตตกะ  เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานไม่มีเจตนา



โลกวัชชะ  และ  ปัณณัตติวัชชะ
อาบัตินั้นเมื่อต้องเข้าเป็นโทษเสียหายได้อีก ๒ ทาง  คือ
๑.    โลกวัชชะ  คือเป็นโทษทางโลกติเตียน  เช่น  ฆ่ามนุษย์
๒.  ปํณณัตติวัชชะ  คือ  เป็นโทษทางพระบัญญัติ  เช่น  ขุดดิน
อาการที่ต้องอาบัติ  ๖ อย่าง
๑.    ต้องด้วยไม่ละอาย
๒.  ต้องด้วยไม่รู้
๓.   ต้องด้วยสงสัย
๔.   ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
๕.   ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
๖.  ต้องด้วยลืมสติ



สิกขาบท
            พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ  เป็นสิกขาบทอันหนึ่ง ๆ  พระองค์ทรงบัญญัติไว้เป็น ๒ หมวด  คือ
๑.    อาทิพรหมจาริยสิกขา  คือ  สิกขาบทที่ทรงตั้งไว้เป็นพุทธอาณา
๒.  อภิสมาจาริยสิกขา  คือ  สิกขาบทที่ทรงตั้งไว้เป็นธรรมเนียม
             อาทิพรหมจาริยสิกขานั้น  มาในพระปาฏิโมกข์  อนุญาตให้สวดในที่ประชุม
สงฆ์ทุกกึ่งเดือน
อุทเทส
                       สิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์นั้น  จัดเข้าเป็นพวกแห่งอาบัติชนิดหนึ่ง ๆ      
  เรียกว่า อุทเทส ๆ  นั้นมี ๙ คือ  นิทานุทเทส๑ ปาราชิกุทเทส๑ สังฆาทิเสสุทเทส๑         อนิยตุทเทส๑ นิสสัคคียุทเทส๑ ปาจิตตียุทเทส๑ ปาฏิเทสนียุทเทส๑ เสขิยุทเทส๑        อธิกรณสมถุทเทส๑
           สิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์เดิมมี ๑๕๐ คือ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส  ๑๓   นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐  ปาจิตตีย์  ๙๒  ปาฏิเทสนียะ ๔  อธิกรณสมถะ  ๗  รวมเป็น       ๑๕๐  ถ้วน   แต่เพิ่ม  อนิยต  ๒  และเสขิยวัตร  ๗๕  เข้าอีก  จึงรวมเป็น  ๒๒๗
ปาราชิก  ๔
              ๑.ภิกษุเสพเมถุน  ต้องปาราชิก.
             ๒ .ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้  ได้ราคา ๕ มาสก ขึ้นไป ต้องปาราชิก.
             ๓. ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย  ต้องปาราชิก.
 ๔. ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม (คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์)  ที่ไม่มีในตน       ต้องปาราชิก.
สังฆาทิเสส  ๑๓
๑.    ภิกษุแกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน  ต้องสังฆาทิเสส.
๒.  ภิกษุมีความกำหนัดอยู่  จับต้องกายหญิง  ต้องสังฆาทิเสส.
๓.   ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง  ต้องสังฆาทิเสส.
           ๔. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่  พูดล่อหญิงให้บำเรอตนด้วยกาม  ต้อง        สังฆาทิเสส




           ๕. ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน  ต้องสังฆาทิเสส.
           ๖. ภิกษุสร้างกุฎีที่ต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน  ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ  จำเพาะเป็นที่อยู่ของตน  ต้องทำให้ได้ประมาณ  โดยยาว  ๑๒ คืบ กว้าง  ๗  คืบ พระสุคต  และต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน  ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ หรือทำเกินประมาณ  ต้องสังฆาทิเสส.
           ๗. ถ้าที่อยู่ที่จะสร้างขึ้นนั้น  มีทายกเป็นเจ้าของ  ทำให้เกินประมาณนั้นได้  แต่ต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน  ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อนต้องสังฆาทิเสส.
           ๘. ภิกษุโกรธเคือง    แกล้งโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล  ต้องสังฆาทิเสส.
           ๙. ภิกษุโกรธเคือง  แกล้งหาเลสโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก  ต้องสังฆาทิเสส.
        ๑๐. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกกัน  ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง  สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น  ถ้าไม่ละ  ต้องสังฆาทิเสส.
        ๑๑. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นั้น   ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง  สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น  ถ้าไม่ละ  ต้องสังฆาทิเสส.
     ๑๒. ภิกษุว่ายากสอนยาก   ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง  สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น  ถ้าไม่ละ  ต้องสังฆาทิเสส.  
       ๑๓. ภิกษุประทุษร้ายตระกูล  คือประจบคฤหัสถ์  สงฆ์ไล่เสียจากวัด  กลับว่าติเตียนสงฆ์
ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง  สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น  ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส.
อนิยต  ๒
๑.    ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง  ถ้ามีคนที่ควรเชื่อถือได้มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๓ อย่าง  คือ  ปาราชิก  หรือสังฆาทิเสส  หรือปาจิตตีย์  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ภิกษุรับอย่างใด  ให้ปรับอย่างนั้น  หรือเขาว่าจำเพาะธรรมอย่างใด  ให้ปรับอย่างนั้น.

๒.  ภิกษุนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง  ถ้ามีคนที่ควรเชื่อถือได้มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๒ อย่าง  คือ  สังฆาทิเสส  หรือปาจิตตีย์  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ภิกษุรับอย่างใด  ให้ปรับอย่างนั้น  หรือเขาว่าจำเพาะธรรมอย่างใด  ให้ปรับอย่างนั้น.






           
นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐  แบ่งเป็น ๓ วรรค
มีวรรคละ ๑๐ สิกขาบท
จีวรวรรคที่ ๑
๑. ภิกษุทรงอติเรกจีวรได้เพียง ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าล่วง ๑๐ วันไป  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
         ๒. ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่ง  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่ได้สมมติ.
         ๓. ถ้าผ้าเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ๆ  ประสงค์จะทำจีวร  แต่ยังไม่พอ  ถ้ามีที่หวังว่าจะได้มาอีก  พึงเก็บผ้านั้นไว้ได้เพียงเดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าเก็บไว้ให้เกินเดือนหนึ่งไป  ถึงแม้ยังมีที่หวังว่าจะได้อยู่  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
      ๔. ภิกษุใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ  ให้ซักก็ดี  ให้ย้อมก็ดี  ให้ทุบก็ดี  วึ่งจีวรเก่า  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
         ๕. ภิกษุรับจีวรแต่มือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ       เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน        ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
         ๖. ภิกษุขอจีวรต่อคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา  ได้มา  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่มีสมัยที่จะขอจีวรได้  เวลาภิกษุมีจีวรอันโจรลักไป  หรือมีจีวรอันฉิบหายเสีย.
         ๗. ในสมัยเช่นนั้น  จะขอเขาได้ก็เพียงผ้านุ่งผ้าห่มเท่านั้น  ถ้าขอให้เกินกว่านั้น  ได้มา  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
         ๘. ถ้าคฤหัสถ์ที่ไม่ญาติไม่ใช่ปวารณา  เขาพูดว่า  เขาจะถวายจีวรแก่ภิกษุชื่อนี้  ภิกษุนั้นทราบความแล้ว  เข้าไปพูดให้เขาถวายจีวรที่มีราคาแพงกว่าดีกว่าที่เขากำหนดไว้เดิม  ไดมา  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
         ๙. ถ้าคฤหัสถ์ผู้จะถวายจีวรแก่ภิกษุมีหลายคน  แต่เขาไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา  ภิกษุไปพูดให้เขารวมทุนเข้าเป็นอันเดียวกัน  ให้ซื้อจีวรที่ดีกว่าแพงกว่าที่เขากำหนดไว้เดิม  ได้มา  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
       ๑๐. ถ้ามีผู้มาถวายทรัพย์ค่าจีวรแก่ภิกษุ ๆ แนะนำให้เขารู้จักไวยาวัจกรและเขามอบทรัพย์นั้นให้แก่ไวยาวัจกรแล้วเรียนภิกษุว่า  ถ้าต้องการจีวรให้บอกแก่ไวยาวัจกร  เขาจะถวาย   เมื่อภิกษุต้องการ  พึงพูดว่าเราต้องการจีวรดังนี้ ๓ ครั้ง  ถ้าไม่ได้ให้ไปยืนพอเขาเห็นหน้าไม่เกิน ๖ ครั้ง  ถ้าเกิน ๖ ครั้งได้มาต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.  ถ้าไม่ได้ให้ไปบอกเจ้าของเดิมให้เอาของเขาคืนไปเสีย  ถ้าไม่บอก  ต้องทุกกฎ.

       โกสิยวรรคที่ ๒
๑.    ภิกษุหล่อสันถัตด้วยขนเจียมเจือด้วยไหม  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
๒.  ภิกษุหล่อสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
๓.  ภิกษุจะหล่อสันถัตใหม่  พึงใช้ขนเจียมดำ ๒ ส่วน  ขนเจียมขาว ๑ ส่วน  ขนเจียมแดง ๑ ส่วน  ถ้าใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนขึ้นไป  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
๔.  ภิกษุหล่อสันถัตใหม่แล้ว  พึงใช้ให้ได้  ๖  ปี   ถ้ายังไม่ถึง  ๖  ปี  หล่อใหม่  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
 ๕. ภิกษุจะหล่อสันถัต  พึงตัดเอาสันถัตเก่าคืบหนึ่งโดยรอบมาปนลงในสันถัตที่หล่อใหม่  เพื่อจะทำลายให้เสียสี  ถ้าไม่ทำดังนี้  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
        ๖. เมื่อภิกษุเดินทางไกล  ถ้ามีใครถวายขนเจียม  นำมาเองได้เพียง ๓ โยชน์  ถ้าเกิน ๓ โยชน์ไป  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
      ๗. ภิกษุใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ  ให้ซักก็ดี  ให้ย้อมก็ดี  ให้สางก็ดี  ซึ่งขนเจียม  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
        ๘. ภิกษุรับเองก็ดี  ใช้ให้ผู้อื่นรับ  ซึ่งเงินและทอง  หรือยินดีเงินและทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
        ๙. ภิกษุทำการซื้อขายด้วยรูปิยะ  คือของที่เขาใช้เป็นทองและเงิน  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
     ๑๐. ภิกษุแลกเปลี่นสิ่งของกับคฤหัสถ์  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
ปัตตวรรคที่ ๓
       ๑. บาตรนอกบาตรอธิษฐานเรียกอติเรกบาตร  อติเรกบาตรนั้น  ภิกษุเก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าให้ล่วง ๑๐ วันไป  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
       ๒. ภิกษุมีบาตรร้าวยังไม่ถึง ๑๐ นิ้ว  ขอบาตรใหม่แต่คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณาได้มา  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
       ๓. ภิกษุรับประเคนเภสัชทั้ง ๕ คือ  เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ่ง น้ำอ้อย  แล้วเก็บไว้ฉันได้เพียง ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าให้ล่วง ๗ วันไป  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
       ๔. เมื่อฤดูร้อนยังเหลืออยู่อีกเดือนหนึ่ง  คือตั้งแต่แรมค่ำหนึ่งเดือน ๗  จึงแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนได้  เมื่อเหลืออยู่อีกกึ่งเดือน  คือตั้งแต่ขึ้นค่ำหนึ่งเดือน ๘  จึงทำนุ่งห่มได้  ถ้าแสวงหาหรือทำนุ่งให้ล้ำกว่ากำหนดนั้นเข้ามา  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
       ๕. ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุอื่นแล้ว   โกรธ   ชิงเอาคืนมาก็ดี   ให้ผู้อื่นชิงเอามาก็ดี   ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
       ๖. ภิกษุขอด้ายแต่คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา  เอามาให้ช่างหูกทอป็นจีวร  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
       ๗. ถ้าคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา  สั่งให้ช่างหูกทอจีวรเพื่อจะถวายแก่ภิกษุ  ถ้าภิกษุไปกำหนดให้เขาทำให้ดีขึ้นด้วยจะให้รางวัลแก่เขา  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
       ๘. ก่อนจะออกพรรษาอีก ๑๐ วัน  ถ้ามีคนมาถวายอัจเจกก็รับไว้ได้จนตลอดกาลจีวร  ถ้าเกินกว่านั้น  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
       ๙. ภิกษุจำพรรษาในเสนาสนะป่า  ออกพรรษาแล้ว  อนุญาตให้เก็บจีวร ๓ ผืน ๆ ใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้ ๖ คืน  เป็นอย่างมาก  ถ้าเกินกว่านั้น  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
    ๑๐. ภิกษุรู้อยู่  น้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน  ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์.
ปาจิตตีย์  ๙๒  สิกขาบท
มุสาวาทวรรคที่ ๑ มี ๑๐ สิกขาบท
     ๑. พูดปด  ต้องปาจิตตีย์.
     ๒. ด่าภิกษุ  ต้องปาจิตตีย์.
     ๓. ส่อเสียดภิกษุ  ต้องปาจิตตีย์.
     ๔. ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบัน  ถ้าว่าพร้อมกัน  ต้องปาจิตตีย์.
     ๕. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับอนุปสัมบัน  เกิน ๓ คืนขึ้นไป  ต้องปาจิตตีย์.
     ๖ .ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับผู้หญิง  แม้ในคืนแรก  ต้องปาจิตตีย์.
     ๗. ภิกษุแสดงธรรมแก่ผู้หญิง  เกินกว่า ๖ คำ ขึ้นไป  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย.
     ๘. ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง  แก่อนุปสัมบัน  ต้องปาจิตตีย์.
     ๙. ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น  แก่อนุปสัมบัน  ต้องปาจิตตีย์.
   ๑๐. ภิกษุขุดดิน  หรือใช้ให้ผู้อื่นขุดดิน  ต้องปาจิตตีย์.
ภูตคามวรรคที่ ๒ มี ๑๐ สิกขาบท
     ๑. ภิกษุพรากของเขียวซึ่งเกิดอยู่กับที่  ให้หลุดจากที่  ต้องปาจิตตีย์.
    ๒. ภิกษุประพฤติอนาจาร  สงฆ์เรียกตัวมาถาม  แกล้งพูดกลบเกลื่อน  หรือนิ่งเสียไม่พูด  ถ้าสงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ  ต้องปาจิตตีย์.
    ๓. ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นที่สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ทำการสงฆ์  ถ้าเธอทำโดยชอบ  ติเตียนเปล่า ๆ  ต้องปาจิตตีย์.


      ๔. ภิกษุเอาเตียง  ตั่ง  ฟูก  เก้าอี้  ของสงฆ์ไปตั้งในที่แจ้งแล้ว  เมื่อหลีกไปไม่เก็บเอง  ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บ  หรือไม่มอบหมายให้ผู้อื่นเก็บ  ต้องปาจิตตีย์.
      ๕. ภิกษุเอาที่นอนของสงฆ์ปูนอนในกุฎีสงฆ์แล้ว  เมื่อหลีกไปจากที่นั้น  ไม่เก็บเอง  ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บ  หรือไม่มอบหมายให้ผู้อื่นเก็บ  ต้องปาจิตตีย์.
      ๖. ภิกษุรู้อยู่ว่า  กุฎีนี้มีผู้อยู่ก่อน  แกล้งไปนอนเบียด  ด้วยหวังจะให้ผู้อยู่ก่อนคับแคบใจเข้าก็จะหลีกไปเอง  ต้องปาจิตตีย์.
     ๗. ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่น  ฉุดคร่าไล่ออกจากกุฎีสงฆ์  ต้องปาจิตตีย์.
     ๘. ภิกษุนั่งทับก็ดี  นอนทับก็ดี  บนเตียงก็ดี  บนตั่งก็ดี  อันมีเท้าไม่ได้ตรึงให้แน่น  ซึ่งเขาวางไว้บนร่างร้านที่เขาเก็บของในกุฎี  ต้องปาจิตตีย์.
     ๙. ภิกษุจะเอาดินหรือปูนโบกหลังคากุฎี  พึงโบกได้เพียง ๓ ชั้น  ถ้าโบกเกินกว่านั้น  ต้องปาจิตตีย์.
   ๑๐. ภิกษุรู้อยู่ว่า  น้ำมีตัวสัตว์  เอารดหญ้าหรือดิน  ต้องปาจิตตีย์.
โอวาทวรรคที่ ๓ มี ๑๐ สิกขาบท
      ๑. ภิกษุที่สงฆ์ไม่ได้สมมติ  สั่งสอนนางภิกษุณี  ต้องปาจิตตีย์.
      ๒. แม้ภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้ว  ตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้วไป  สอนนางภิกษุณี  ต้องปาจิตตีย์.
      ๓. ภิกษุเข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงในที่อยู่  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่นางภิกษุณีเจ็บ.
      ๔. ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นว่า  สอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ  ต้องปาจิตตีย์.
      ๕. ภิกษุให้จีวรแก่นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน.
       ๖. ภิกษุเย็บจีวรของนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติก็ดี  ใช้ให้ผู้อื่นเย็บก็ดี  ต้องปาจิตตีย์.
       ๗. ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางด้วยกัน  แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่ทางเปลี่ยว.
       ๘. ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน  ขึ้นน้ำก็ดี  ล่องน้ำก็ดี  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่ข้ามฟาก.
     ๙. ภิกษุรู้อยู่  ฉันของเคี้ยวของฉัน  ที่นางภิกษุณีบังคับให้คฤหัสถ์เขาถวาย  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่คฤหัสถ์เขาเริ่มไว้ก่อน.
     ๑๐. ภิกษุนั่ง  หรือนอน  ในที่ลับสองต่อสอง  กับนางภิกษุณี  ต้องปาจิตตีย์.





โภชนวรรคที่ ๔ มี ๑๐ สิกขาบท
       ๑.  อาหารในโรงทานที่ทั่วไปไม่นิยมบุคคล  ภิกษุไม่เจ็บไข้  ฉันได้วันเว้นวัน  ถ้าฉันติด ๆ กันตั้งแต่สองวันขึ้นไป  ต้องปาจิตตีย์.
      ๒.  ถ้าทายกเขามานิมนต์  ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป   ไปฉันโดยบอกชื่อโภชนะทั้ง ๕ คือ  ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ  ภิกษุไปฉันเป็นหมู่  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่  หน้าจีวรกาล ทำจีวร เดินทางไกล ไปทางเรือ ประชุมใหญ่ คราวภัตของสมณะ  เหล่านี้ไม่อาบัติ.
       ๓. ภิกษุรับนิมนต์แล้วไม่ไปฉันในที่นิมนต์นั้น  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นแต่ให้ผู้อื่นไปแทน  เป็นไข้ ในคราวถวายและทำจีวร  เหล่านี้ไม่อาบัติ.
       ๔. ถ้าทายกถวายขนมเป็นมาก  ภิกษุรับได้เพียง ๓ บาตรเท่านั้น  ถ้ารับเกินนั้น  ต้องปาจิตตีย์.  ของที่ได้มาต้องแจกแก่ภิกษุอื่น  ถ้าไม่แบ่งต้องทุกกฎ.
       ๕. ภิกษุฉันอาหารอิ่มแล้ว  จะฉันอีกซึ่งอาหารที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้  ต้องปาจิตตีย์. ขณะรับ  ต้องทุกกฎ.
        ๖. ภิกษุเอาอาหารที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้  ไปล่อให้ภิกษุผู้ที่ห้ามข้าวแล้วบริโภค  เพื่อจะเพ่งโทษเธอ  เมื่อเธอฉันแล้ว  ต้องปาจิตตีย์. 
        ๗. ภิกษุฉันอาหารในเวลาวิกาล  ต้องปาจิตตีย์.  คือตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงวันใหม่
        ๘. ภิกษุรับประทานของเคี้ยวของฉัน  ที่เก็บไว้ค้างคืน  ต้องปาจิตตีย์.
         ๙. ภิกษุขอโภชนะอันประณีต  คือ  ข้าวสุก ระคนด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม ต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา  เอามาฉัน  ต้องปาจิตตีย์.
       ๑๐. ภิกษุฉันอาหารที่ยังไม่ได้รับประเคน  ให้ล่วงปากเข้าไป  ต้องปาจิตตีย์.  ยกเว้นน้ำและแปรงสีฟัน.
อเจลกวรรคที่ ๕ มี ๑๐ สิกขาบท
         ๑. ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉัน  แก่นักบวชนอกศาสนา  ด้วยมือตน  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๒. ภิกษุชวนภิกษุอื่นไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน  หวังจะประพฤติอนาจาร  ไล่เธอกลับมาเสีย  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๓. ภิกษุสำเร็จการนั่งแทรกแซง  ในสกุลที่กำลังบริโภคอาหารอยู่  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๔. ภิกษุนั่งอยู่ในห้องกับผู้หญิง  ไม่มีผู้ชายอยู่เป็นเพื่อน  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๕. ภิกษุนั่งในที่แจ้งกับผู้หญิงสองต่อสอง  ต้องปาจิตตีย์. 

        ๖. ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะทั้ง ๕ แล้ว  จะไปในที่อื่นจากที่นิมนต์นั้น  ในเวลาก่อนฉันก็ดี  ฉันกลับมาแล้วก็ดี  ต้องลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดก่อนจึงจะไปได้  ถ้าไม่ลาก่อนเที่ยวไป  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่สมัยจีวรกาลและเวลาทำจีวร.
        ๗. ถ้าเขาปวารณาด้วยปัจจัยสี่เพียง ๔ เดือน  พึงขอเขาได้เพียงกำหนดนั้นเท่านั้น  ถ้าขอเกินกำหนดไป  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีก  หรือปวารณาเป็นนิตย์.
        ๘. ภิกษุไปดูกระบวนทัพที่เขายกไปเพื่อจะรบกัน  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้แต่มีเหตุ.
        ๙. ถ้าเหตุที่ต้องไปมีอยู่  พึงไปอยู่ได้ในกองทัพเพียง ๓ วัน  ถ้าอยู่เกินกำหนดนั้น  ต้องปาจิตตีย์. 
     ๑๐. ในเวลาที่อยู่ในกองทัพ   ถ้าไปดูเขารบกัน  ดูเขาตรวจพล  ดูเขาจัดกระบวนทัพ      ดูเสนาที่จัดเป็นกระบวนแล้ว  ต้องปาจิตตีย์. 
สุราปานวรรคที่ ๖ มี ๑๐ สิกขาบท
        ๑. ภิกษุดื่มน้ำเมา  ต้องปาจิตตีย์. 
       ๒. ภิกษุจี้ภิกษุ  ต้องปาจิตตีย์. 
       ๓. ภิกษุว่ายน้ำเล่น  ต้องปาจิตตีย์. 
       ๔. ภิกษุแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย  ต้องปาจิตตีย์. 
       ๕. ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัวผี  ต้องปาจิตตีย์. 
        ๖. ภิกษุไม่เป็นไข้  ติดไฟ  หรือใช้ให้ผู้อื่นติดเพื่อจะผิง  ต้องปาจิตตีย์.  ติดเพื่อเหตุอื่น  ไม่อาบัติ
       ๗. ภิกษุอยู่ในมัชฌิมประเทศ (จังหวัดกลางของอินเดีย )  ๑๕ วันอาบน้ำได้หนหนึ่ง  ถ้าอาบก่อน ๑๕ วัน  ต้องปาจิตตีย์.  เว้นไว้มีเหตุจำเป็น  ในปัจจันตประเทศ (ประเทศอื่น)อาบได้ไม่เป็นอาบัติ.
       ๘. ภิกษุได้จีวรใหม่มา  ต้องพินทุด้วยสี ๓ อย่าง คือ  เขียวคราม  โคลน  ดำคล้ำ  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ถ้าไม่ทำพินทุก่อน  นุ่งห่มผ้าใหม่  ต้องปาจิตตีย์.  พินทุนั้น  ทำให้เป็นจุดวงกลม  ขนาดใหญ่เท่าแววตานกยูง  ขนาดเล็กเท่าหลังเรือด.
       ๙. ภิกษุวิกัปจีวรแก่ภิกษุหรือสามเณรแล้ว  ผู้รับยังไม่ได้ถอน  นุ่งห่มจีวรนั้น  ต้องปาจิตตีย์. 
    ๑๐. ภิกษุซ่อนบริขารของภิกษุอื่น  ด้วยคิดว่าจะล้อเล่น  ต้องปาจิตตีย์. 




สัปปาณวรรค ที่ ๗ มี ๑๐ สิกขาบท
          ๑. ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๒. ภิกษุรู้อยู่ว่า  น้ำมีตัวสัตว์  บริโภคน้ำนั้น  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๓. ภิกษุรู้อยู่ว่า  อธิกรณ์นี้สงฆ์ทำแล้วโดยชอบ  เลิกถอนเสีย  กลับทำใหม่  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๔. ภิกษุรู้อยู่  แกล้งปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๕. ภิกษุรู้อยู่  เป็นอุปัชฌายะอุปสมบทกุลบุตรผู้มีอายุหย่อนกว่า  ๒๐ ปี  ต้องปาจิตตีย์. 
          ๖. ภิกษุรู้อยู่  ชวนพ้อค้าผู้ซ่อนภาษีเดินทางด้วยกัน  แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง  ต้องปาจิตตีย์. 
      ๗. ภิกษุชวนผู้หญิงเดินทางด้วยกัน  แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๘. ภิกษุกล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า  ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง  สงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ  ต้องปาจิตตีย์. 
          ๙. ภิกษุคบภิกษุเช่นนั้น  คือ  ร่วมกิน  ร่วมนอน  หรือร่วมอุโบสถสังฆกรรม  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๑๐. ภิกษุเกลี้ยกล่อมสามเณรที่ภิกษุอื่นให้ฉิบหายแล้ว  เพราะโทษที่กล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า  ให้เป็นผู้อุปัฏฐาก  หรือร่วมกิน  ร่วมนอน  ต้องปาจิตตีย์. 
สหธรรมิกวรรค  ที่ ๘ มี ๑๒ สิกขาบท
           ๑. ภิกษุประพฤติอนาจาร  ภิกษุอื่นตักเตือน  พูดผัดเพี้ยนว่า  ยังไม่ได้ถามท่านผู้รู้ก่อน  ข้าพเจ้าจักไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้  ต้องปาจิตตีย์.  ธรรมดาภิกษุยังไม่รู้สิ่งใด   ควรจะรู้สิ่งนั้น  ควรไต่ถามไล่เลียงท่านผู้รู้.
          ๒. ภิกษุอื่นท่องปาติโมกข์อยู่  ภิกษุแกล้งพูดให้คลายอุตสาหะ  ต้องปาจิตตีย์. 
          ๓. ภิกษุต้องอาบัติแล้วทำแสร้งไม่รู้  ต้องปาจิตตีย์. 
          ๔. ภิกษุโกรธ  ให้ประหารภิกษุแก่อื่น  ต้องปาจิตตีย์. 
          ๕. ภิกษุโกรธ  เงื้อมือดุจให้ประหารแก่ภิกษุอื่น  ต้องปาจิตตีย์. 
          ๖. ภิกษุโจทก์ฟ้องภิกษุอื่น  ด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๗. ภิกษุแกล้งก่อความให้เกิดแก่ภิกษุอื่น  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๘. เมื่อภิกษุวิวาทกันอยู่  ภิกษุไปแอบฟังความ  เพื่อจะได้รู้ว่าเขาว่าอะไรตนหรือพวกของตน  ต้องปาจิตตีย์. 

       ๙. ภิกษุให้ฉันทะ  คือความยอมให้ทำสังฆกรรมที่เป็นธรรมแล้ว  ภายหลังกลับติเตียนสงฆ์ผู้ทำกรรมนั้น  ต้องปาจิตตีย์. 
     ๑๐. เมื่อสงฆ์กำลังประชุมกันตัดสินข้อความข้อหนึ่งอยู่  ภิกษุใดอยู่ในที่ประชุมนั้น  จะหลีกไปในขณะที่ตัดสินข้อนั้นยังไม่เสร็จ  ไม่ให้ฉันทะก่อนลุกไปเสีย  ต้องปาจิตตีย์. 
     ๑๑. ภิกษุพร้อมกับสงฆ์ให้จีวรเป็นบำเหน็จ   แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแล้ว   ภายหลังกลับติเตียนภิกษุอื่นว่า  ให้เพราะเห็นแก่หน้ากัน  ต้องปาจิตตีย์. 
    ๑๒. ภิกษุรู้อยู่  น้อมลาภที่ทายกเขาตั้งใจจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล  ต้องปาจิตตีย์. 
รตนวรรคที่ ๙ มี ๑๐ สิกขาบท
       ๑. ภิกษุไม่ได้รับอนุญาตก่อน  เข้าไปในห้องที่พระเจ้าแผ่นดินเสค็จอยู่กับพระมเหสี  ต้องปาจิตตีย์. 
       ๒. ภิกษุเห็นเครื่องบริโภคของคฤหัสถ์ตกอยู่  ถือเอาเป็นของตนเอง  หรือให้ผู้อื่น  ต้องปาจิตตีย์.  ถ้าของนั้นตกอยู่ในวัด  ต้องเก็บไว้ให้เจ้าของ  ถ้าไม่เก็บ  ต้องทุกกฎ.
       ๓. ภิกษุไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยู่ในวัดก่อน  เข้าไปในบ้านเวลาวิกาล  ต้องปาจิตตีย์. 
       ๔. ภิกษุทำกล่องเข็ม  ด้วยกระดูก ด้วยงา ด้วยเขา  ต้องปาจิตตีย์. 
       ๕. ภิกษุทำเตียงหรือตั่ง  ต้องทำให้มีเท้ายาวเพียง  ๘  นิ้ว  พระสุคต  โดยวัดจากพื้นถึงแม่แคร่  ถ้าทำเกินนี้  ต้องปาจิตตีย์. 
        ๖. ภิกษุทำเตียงหรือตั่งหุ้มนุ่น  ต้องปาจิตตีย์.  ต้องรื้อเสียก่อนจึงแสดงอาบัติตก.
       ๗. ภิกษุทำผ้าปูนั่งต้องทำให้ได้ประมาณ  คือ  ยาว ๒ คืบพระสุคต  กว้างคืบครึ่ง  ชายคืบหนึ่ง  ถ้าทำเกินกำหนด  ต้องปาจิตตีย์. 
        ๘. ภิกษุทำผ้าปิดแผล  ต้องทำให้ได้ประมาณ  คือ  ยาว ๔ คืบพระสุคต  กว้าง ๒ คืบ   ถ้าทำเกินกำหนด  ต้องปาจิตตีย์. 
         ๙. ภิกษุทำผ้าอาบน้ำฝน  ต้องทำให้ได้ประมาณ  คือ  ยาว ๖ คืบพระสุคต  กว้าง ๒ คืบ   ถ้าทำเกินกำหนด  ต้องปาจิตตีย์. 
    ๑๐. ภิกษุทำจีวรเท่ากันหรือใหญ่กว่าจีวรพระสุคต  ต้องปาจิตตีย์.  จีวรพระสุคตนั้น  ยาว  ๙ คืบ  กว้าง ๖ คืบ  ด้วยคืบพระสุคต.

         



  ปาฏิเทสนียะ ๔
           ๑. ภิกษุรับของเคี้ยวของฉันจากมือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ  ด้วยมือของตนมาบริโภค  ต้องปาฏิเทสนียะ.
           ๒. ภิกษุฉันอยู่ในที่นิมนต์  ถ้ามีนางภิกษุณีมาสั่งให้ทายกให้เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ถวาย ให้ไล่นางภิกษุณีนั้นไปเสีย  ถ้าไม่ไล่  ต้องปาฏิเทสนียะ.
           ๓. ภิกษุไม่เป็นไข้  เขาไม่ได้นิมนต์  รับของเคี้ยวของฉันในตระกูลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสขะ  มาบริโภค  ต้องปาฏิเทสนียะ.
           ๔. ภิกษุอยู่ในเสนาสนะป่าเป็นที่เปลี่ยว  ไม่เป็นไข้  รับของเคี้ยวฉัน  ที่ทายกไม่ได้แจ้งความให้ทราบก่อน  ด้วยมือของตนมาบริโภค  ต้องปาฏิเทสนียะ.

เสขิยวัตร
สารูปที่ ๑ มี ๒๖
          ๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักนุ่งให้เรียบร้อย.
      ๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักห่มให้เรียบร้อย.
         ๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักปิดกายด้วยดีไปในบ้าน.
         ๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน.
         ๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักระวังมือเท้าด้วยดีไปในบ้าน.
       ๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักระวังมือเท้าด้วยดีนั่งในบ้าน.
         ๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักมีตาทอดลงไปในบ้าน.
         ๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักมีตาทอดลงนั่งในบ้าน.
         ๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เวิกผ้าไปในบ้าน.
        ๑๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน.
        ๑๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่หัวเราะไปในบ้าน.
       ๑๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่หัวเราะนั่งในบ้าน.
       ๑๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน.
      ๑๔.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน.




        ๑๕.   ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่โคลงกายไปในบ้าน.
          ๑๖.    ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่โคลงกายนั่งในบ้าน.
         ๑๗.    ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ไกวแขนไปในบ้าน.
      ๑๘.    ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน.
         ๑๙.     ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน.
        ๒๐.     ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน.
        ๒๑.     ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน.
        ๒๒.    ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน.
        ๒๓.    ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน.
        ๒๔   . ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน.
        ๒๕.    ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เดินกระโหย่งเท้าไปในบ้าน.
        ๒๖.    ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน.
โภชนปฏิสังยุต ที่ ๒ มี ๓๐
๑.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า   เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ.
๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า   เมื่อรับบิณฑบาต  เราจักแลดูแต่ในบาตร.
๓.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก.
๔.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร.
๕.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ.
๖.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เมื่อฉันบิณฑบาต  เราจักแลดูแต่ในบาตร.
๗.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ขุดข้าวสุกให้แหว่ง.
๘.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักฉันแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก.
๙.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ขยุ้มข้าวสุกแต่ยอดลงไป.
๑๐.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่กลบแกงหรือกับข้าวด้วยข้าวสุก  เพราะอยากจะได้มาก.
๑๑.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราไม่เจ็บไข้  จักไม่ขอแกงหรือข้าวสุก  เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน.





๑๒.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ.
๑๓.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก.
๑๔.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม.
๑๕.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปาก  เราจักไม่อ้าปากไว้ท่า.
๑๖.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เมื่อฉันอยู่  เราจักไม่เอานิ้วมือสอดเข้าปาก.
๑๗.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เมื่อข้าวอยู่ในปาก  เราจักไม่พูด.
๑๘.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่โยนคำข้าวเข้าปาก.
๑๙.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว.                                               ๒๐.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย.
๒๑.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง.
๒๒.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าวให้ตกลงในบาตรหรือในที่นั้นๆ
๒๓.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันแลบลิ้น.
๒๔.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันดังจับ ๆ.
๒๕.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันดังซูดๆ.
๒๖.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันเลียมือ.
๒๗.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันขอดบาตร.
๒๘.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก.
๒๙.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอามือเปื้อนจัภาชนะน้ำ.
๓๐.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน.

ธัมมเทสนาปฏิสังยุตที่ ๓ มี ๑๖
๑.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  มีร่มในมือ.               ๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  มีไม้พลองในมือ.
๓.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  มีศัสตราในมือ.
๔.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  มีอาวุธในมือ.
๕.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  สวมเขียงเท้า




๖.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  สวมรองเท้า.
๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  ไปในยาน.
๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  อยู่บนที่นอน.                           ๙.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  นั่งรัดเข่า.
๑๐.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  พันศีรษะ.
๑๑.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ คลุมศีรษะ.
๑๒.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เรานั่งอยู่บนแผ่นดิน  จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้นั่งบนอาสนะ.
๑๓.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เรานั่งบนอาสนะต่ำ  จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้นั่งบนอาสนะสูง
๑๔.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เรายืนอยู่  จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งอยู่.
๑๕.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราเดินไปข้างหลัง  จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้เดินไปข้างหน้า.
๑๖.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราเดินไปนอกทาง  จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้ไปในทาง.
ปกิณณกะที่ ๔ มี ๓
๑.  ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราไม่เป็นไข้  จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ.
๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราไม่เป็นไข้  จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ.  บ้วนเขฬะ ลงในของเขียว.
๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราไม่เป็นไข้  จักไม่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ  ลงในน้ำ.
อธิกรณ์ มี ๔
๑.  ความเถียงกันว่า   สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย             สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรม  ไม่ใช่วินัย    เรียกวิวาทาธิกรณ์.
๒. ความโจทกันด้วยอาบัตินั้นๆ  เรียก  อนุวาทาธิกรณ์
๓.  อาบัติทั้งปวง  เรียก  อาปัตตาธิกรณ์
๔.  กิจที่สงฆ์จะพึงทำ  เรียก  กิจจาธิกรณ์





อธิกรณสมถะมี ๗
       ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ทั้ง ๔ นั้น  เรียกอธิกรณสมถะมี ๗ อย่าง  คือ
๑.  ความระงับอธิกรณ์ทั้ง ๔ นั้น  ในที่พร้อมหน้าสงฆ์  ในที่พร้อมหน้าบุคคล  ในที่พร้อมหน้าวัตถุ  ในที่พร้อมหน้าธรรม  เรียกว่า  สัมมุขาวินัย.
๒.  ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่พระอรหันต์ว่า  เป็นผู้มีสติเต็มที่  เพื่อจะไม่ให้ใครโจทด้วยอาบัติ  เรียกว่า  สติวินัย.
๓.  ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่ภิกษุ  ผู้หายเป็นบ้าแล้ว  เพื่อจะไม่ให้ใครโจทด้วยอาบัติ  ที่เธอทำในเวลาเป็นบ้า  เรียกว่า  อมูฬหวินัย.
๔.  ความปรับอาบัติตามปฏิญญาของจำเลยผู้รับเป็นสัตย์  เรียกว่า  ปฏิญญาตกรณะ.
๕.  ความตัดสินเอาตามคำของคนมากเป็นประมาณ  เรียกว่าเยภุยยสิกา.
๖.  ความลงโทษแก่ผู้ผิด เรียกว่า  ตัสสปาปิยสิกา.
๗.  ความให้ประณีประนอมกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่ต้องชำระความเดิม  เรียกว่า ติณวัตถารกวินัย
        สิกขาบทนอกนี้  ที่ยกขึ้นเป็นอาบัติถุลลัจจัยบ้าง  ทุกกฎบ้าง  ทุพภาสิตบ้าง  เป็นสิกขาบทไม่ได้มาในพระปาติโมกข์.
จบพระวินัยบัญญัติ.






             

      
         




     


หนังสืออ้างอิง

๑.  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาวชิรญาณวโรรส.  นวโกวาท  หลักสูตรนักธรรมชั้น  ตรี.พิมพ์ครั้งที่ ๗๘  กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย.  ๒๕๓๘
๒.  จรูญ  สมน้อย.  อธิบายวินัย  น.ธ. ตรี  ฉบับสมบูรณ์.  กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์พุทธลีลา.๒๕๔๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

OK